เมนู

พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นมีนามว่า โสภนะ พระบิดา
เป็นพราหมณ์ นามว่า ยัญญทัตตะ พระมารดาเป็นนางพราหมณี นามว่า
อุตตรา พระภิยโยสเถระและพระอุตตรเถระเป็นคู่พระอัครสาวก พระอุปัฏฐาก
นามว่า โสตถิชะ พระสมุททาเถรีและพระอุตตราเถรีเป็นคู่พระอัครสาวิกา
ไม้อุทุมพรเป็นต้นไม้ตรัสรู้ พระสรีระสูง 30 ศอก มีพระชนมายุ 3 หมื่นปี
แล.
จบโกนาคมนกถา

กัสสปกถาที่ 24



ในกาลต่อจากพระโกนาคมนพุทธเจ้าพระองค์นั้นมา มีพระศาสดาทรง
พระนามว่า กัสสป ทรงอุบัติขึ้น สาวกสันนิบาตของพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์นั้น มีครั้งเดียว มีภิกษุ 2 หมื่นรูป.
ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เป็นมาณพ นามว่า โชติบาล เป็นผู้จบไตรเพท
มีชื่อเสียงปรากฏขจรไปทั้งทางพื้นดินและทางอากาศ ได้เป็นมิตรของช่างหม้อ
นามว่า ฆฏิการะ พระโพธิสัตว์นั้นได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดา พร้อมกับช่างหม้อ
นั้นสดับกรรมกถา บวชแล้ว ปรารภความเพียรเรียนจบพระไตรปิฎก ชำระ
พระพุทธศาสนาหมดจดด้วยวัตรสมบัติ แม้พระศาสดาพระองค์นั้น ก็ได้
พยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นแล้ว.
พระนครอันขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น นามว่า พาราณสี
พระบิดาเป็นพราหมณ์ นามว่า พรหมทัต พระมารดาเป็นพราหมณี นามว่า
ธนวดี พระติสสเถระและภารัทวาชเถระเป็นคู่พระอัครสาวก พระอุปัฏฐาก

นามว่า สัพพมิตร พระอรุณาเถรีและพระอุรุเวลาเถรีเป็นคู่พระอัครสาวิกา
ต้นนิโครธเป็นต้นไม้ตรัสรู้ พระสรีระสูง 20 ศอก มีพระชนมายุ 2 หมื่น
พรรษาแล.
จบกัสสปกถา

ส่วนในกาลต่อจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า กัสสป นั้นมาเว้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ของเราทั้งหลายแล้วจะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์
อื่นหาได้ไม่. ก็พระโพธิสัตว์ได้รับพยากรณ์จากสำนักพระพุทธเจ้า 24 พระองค์
มีพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นต้น พุทธการกธรรมมีทานบารมีเป็นต้น
เหล่าใด ที่พระโพธิสัตว์ทรงประมวลธรรม 8 ประการเหล่านี้ คือ
1. มนุสฺสตฺตํ (ความเป็นมนุษย์)
2. ลิงคสมฺปตฺติ (ถึงพร้อมด้วยเพศ)
3. เหตุ (มีอุปนิสสัยแห่งพระอรหัต )
4. สตฺถารทสฺสนํ (การได้เห็นพระศาสดา)
5. ปพฺพชฺชา (การบรรพชา)
6. คุณสมฺปตฺติ (ถึงพร้อมด้วยคุณ)
7. อธิกาโร (มีความปรารถนาแรงกล้า)
8. ฉนฺทตา (มีความพอใจ)
บุญญาภินีหาร ย่อมสำเร็จได้เพราะธรรมสโมธาน 8 ประการแล้วทรง
ทำอภินีหารที่บาทมูลของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ทีปังกร ทรงตั้งอุตสาหะว่า
เอาละ เราจักค้นหาพุทธการกธรรมทุกด้าน ดังนี้ เห็นแล้วว่าในครั้งนั้น

เมื่อเลือกเฟ้นอยู่ เราได้เห็นทานบารมีก่อน จึงบำเพ็ญพุทธการกธรรมเหล่านั้น
จนถึงความเป็นพระเวสสันดร.
อนึ่ง เมื่อ พระองค์ทรงบรรลุอานิสงส์ของพระโพธิสัตว์ผู้มีอภินิหารอัน
กระทำไว้แล้ว อานิสงส์เหล่านั้นท่านพรรณนาไว้ว่า
นรชนทั้งหลายผู้สมบูรณ์ด้วยองค์คุณ
ทั้งปวงอย่างนี้ เป็นผู้เที่ยงเพื่อจะตรัสรู้ เมื่อ
ยังท่องเที่ยวไปสู่สังสารวัฏสิ้นกาลนาน แม้
ตั้งร้อยโกฏิกัปก็ไม่ได้เกิดในอเวจีและในโล-
กันตรนรก ไม่เกิดเป็นนิชฌาม ตัณหิกเปรต
ขุปปิปาสิกเปรต กาลกัญชิกเปรต แม้จะเกิด
ในทุคติก็ไม่เกิดเป็นสัตว์เล็ก ๆ เมื่อเกิดใน
มนุษย์ ย่อมไม่เกิดเป็นผู้บอดแต่กำเนิด
ไม่เป็นคนหูหนวก ไม่เป็นคนใบ้ ไม่เป็นคน
พิการ ไม่เกิดเป็นหญิง ไม่เป็นอุภโตพยัญชนะ
ไม่เป็นบัณเฑาะก์ ย่อมไม่เป็นบุคคลผู้นับ
เนื่องแล้วจากอภัพบุคคลทั้งหลาย เป็นผู้
พ้นแล้วจากอนันตริยธรรม เป็นนรผู้เพียง
เพื่อจะตรัสรู้ มีโคจรบริสุทธิ์ในที่ทั้งปวง ไม่
เสพมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นในการกระทำว่า
เป็นกรรม แม้เมื่ออยู่ในสวรรค์ก็ไม่เกิดใน
อสัญญีภพ ชื่อว่า เหตุเกิดในสุทธาวาส

ทั้งหลายไม่มี เป็นผู้น้อมไปในเนกขัมมะ
เป็นสัตบุรุษ ไม่ติดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่
ย่อมเที่ยวไป เพื่อประพฤติประโยชน์แก่ชาว
โลก ย่อมบำเพ็ญบารมีทั้งปวง
ดังนี้
เมื่อพระโพธิสัตว์บรรลุอานิสงส์เหล่านั้นมาบำเพ็ญบารมีทั้งหลายอยู่
ในกาลเสวยพระชาติเป็นอกิตติพราหมณ์ ในกาลเสวยพระชาติเป็นสังขพราหมณ์
ในกาลเสวยพระชาติเป็นพระเจ้าธนัญชัย ในกาลเสวยพระชาติเป็นพระเจ้ามหา-
สุทัศนะ ในกาลเสวยพระชาติเป็นมหาโควินทะ ในกาลเสวยพระชาติเป็น
พระเจ้านิมิมหาราช ในกาลเสวยพระชาติเป็นพระจันทกุมาร ในกาลเสวย
พระชาติเป็นวิสัยหเศรษฐี ในกาลเสวยพระชาติเป็นสสบัณฑิต ในกาลเสวย
พระชาติเป็นพระเจ้าสีวิราช ในกาลเป็นพระเวสสันดร ดังนี้ ชื่อว่า ปริมาณ-
อัตภาพที่บำเพ็ญทานบารมี มีคุณนับไม่ได้.

ว่าด้วยทานที่เป็นปรมัตถ์



อนึ่ง เมื่อพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นสสบัณฑิต ได้สละอัตภาพ
ที่ท่านกล่าวไว้ในสสบัณฑิตชาดก อย่างนี้ว่า
เราเห็นพราหมณ์ผู้มาขอ จึงสละ
อัตภาพของตน ทานของเราไม่มีใครเสมอ
นั่นเป็นทานบารมีของเรา
ดังนี้.
ชื่อว่าการบำเพ็ญทานเป็นปรมัตถบารมีโดยส่วนเดียว.

ว่าด้วยศีลบารมีที่เป็นปรมัตถ์



อนึ่ง ชื่อว่า ปริมาณอัตภาพที่บำเพ็ญศีลบารมีมีคุณที่นับไม่ได้ คือ
ในกาลเสวยพระชาติเป็นพระเจ้าสีวิราช ในกาลเสวยพระชาติเป็นจัมเปยย-